รักษาความปลอดภัย บอลโลก 2018
ด้วยประเทศรัสเซียเป็นเมืองที่มีพื้นที่มากมายมหาศาล ทำให้ฝ่ายจัดการแข่งขันบอลโลก 2018 กระจายเกมของทั้ง 8 กลุ่ม ออกไปแข่งใน 11 เมือง ที่ได้เลือกเอาไว้ ในส่วนของความพร้อมนั้น บอกได้เลยว่า รัสเซีย พร้อมเต็มพิกัดสำหรับบอลโลก 2018 สำคัญระดับโลก โดยเฉพาะมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งใครที่หวั่นว่าจะเกิดเหตุก่อการร้ายหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่มีแน่นอน เพราะประธานาธิบดี “วลาดิเมียร์ ปูติน” ยืนยันแล้วว่า ทุกคนจะปลอดภัยในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 มีเครื่องสแกนโลหะ พนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมอุปกรณ์ เครื่องตรวจจับโลหะประจำจุดทางเข้าออกของสนามแข่งขันทุกแห่ง พนักงานรักษาความปลอดภัย ล่าสุดฟีฟ่าได้เน้นในเรื่องความปลอดภัยบอลโลก 2018 นี้มากขึ้นไปอีก โดยเน้นเรื่องการป้องกันที่มีมาตรฐาน และที่สำคัญทุกสมาคมฟุตบอลของแต่ละประเทศ จะต้องมีการแต่งตั้ง รปภ (Secretary Officer)หรือพนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อม เครื่องตรวจโลหะ และมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานหลักในเรื่องความปลอดภัยกับทุกๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าสมาคมฟุตบอลฯ ผู้จัดการแข่งขัน แผนกฉุกเฉินทางการแพทย์ ตำรวจ และฝ่ายสนามแข่งขันที่ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การตรวจสอบด้านความปลอดภัยต้องตรวจสอบทุกทางเข้าตลอดจนพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบจุดเข้า-ออก สนามแข่งขัน บอลโลก 2018 สนามฟุตบอลที่ใช้จัดการแข่งขันบอลโลก 2018 กระจายเกมของทั้ง 8 กลุ่ม ออกไปแข่งใน 11 เมือง 12 สนาม เมืองละ 1 สนามทั้งหมด ดังนี้ เครสตอฟสกี สเตเดียม เมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก, ฟิชท์ โอลิมปิก สเตเดียม เมืองโซชิ, คอสมอส อารีนา เมืองซามารา, คาซาน อารีนา เมืองคาซาน, รอสตอฟ อารีนา เมืองรอสตอฟ ฟอนดอน, โวลโกกราด อารีนา เมืองโวลโกกราด, นิซนี นอฟโกร็อด สเตเดียม เมืองนิซนี นอฟโกร็อด, มอร์โดเวีย อารีนา เมืองซารันส์ค, เซ็นทรัล สเตเดียม เมืองเยคาเตรินเบิร์ก และ คาลินินกราด สเตเดียม เมืองคาลินินกราดและทุกสนามได้มีการวางระบบรักษาความปลอดภัยไว้อย่างดีเยียมและมีเครื่องสแกนโลหะและ รปภ.ประจำทุกจุดโดยรอบสนามแข่งขัน นัดเปิดสนาม & สนามนัดชิงชนะเลิศ ส่วน กรุงมอสโก เมืองหลวง เป็นเมืองเดียวที่มี 2 สนามในการจัดศึกบอลโลก 2018 ครั้งนี้คือ ลุซนิคิ สเตเดียม กับ ออตคริตี อารีนา สำหรับสนามที่มีความจุผู้ชมมากที่สุดคือ ลุซนิคิ สเตเดียม จุได้ถึง 81,000 คน จะใช้แข่งทั้งหมด 7 เกม โดยเกมสำคัญคือนัดเปิดสนามกับนัดชิงชนะเลิศ ส่วนสนามที่มีความจุน้อยสุดคือ คาลินินกราด สเตเดียม จุได้ 35,212 คน ใช้แข่งทั้งหมด 4 เกม ในรอบแรก ทางการรัสเซียได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยเฉพาะสนามบิน Pulkovo นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยของรถไฟใต้ดินที่กรุงมอสโก และสนามบิน Vnukovo ณ กรุงมอสโก มีเครื่องสแกนโลหะ และรปภ.เดินตรวจรักษาความปลอดภัยโดยรอบ แฟนบอลหายห่วงเรื่องความปลอดภัยสำหรับการเชียร์บอลข้างสนามในกรุงมอสโก เจ้าภาพ บอลโลก 2018 ประเทศรัสเซีย หนึ่งในมหาอำนาจในด้านต่างๆ ของโลก ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย เป็นครั้งแรกในปี 2018 สร้างความยินดีให้กับหลายฝ่าย รวมทั้งแฟนบอลทีมหมีขาว เพราะทีมชาติรัสเซีย ได้สิทธิ์เข้ารอบสุดท้ายบอลโลก 2018 อัตโนมัติ นับตั้งแต่รัสเซียที่ประกาศแยกตัวออกมาจากสหภาพโซเวียต เมื่อปี 1991 ได้รับเลือกจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า เอาชนะชาติคู่แข่งอย่าง โปรตุเกส-สเปน, เบลเยียม-เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ทำให้เป็นชาติที่ 8 ของทวีปยุโรปที่ได้จัดมหกรรมลูกหนังระดับโลกรายการนี้ Cr.ไทยรัฐ,ฐานเศรษฐกิจ เครื่องตรวจโลหะ แบบพกพา
ในเรื่องของความปลอดภัย ผู้ที่เคยโดยสารเครื่องบินมาแล้ว คงคุ้นเคยดีกับภาพของเจ้าหน้าที่สนามบินตรวจกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่และ ถือวัตถุรูปลักษณะเป็นแท่งยาวๆ สีดำอันหนึ่งยกกวาดไปตามลำตัว ของผู้โดยสารตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยปราศจากรังสีใดๆ ที่สามารถมองเห็นได้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะให้ผ่านไปได้หากไม่มีเสียงสัญญาณเตือน เจ้าวัตถุรูปแท่งที่ว่านี้ก็คือ เครื่องตรวจจับโลหะ แบบพกพา นั่นเอง หลายคนอาจสงสัยว่าเจ้า เครื่องตรวจโลหะ แบบพกพา ที่ว่านี้ทำงานได้อย่างไร วันนี้เราจะมาค้นหาคำตอบกัน การทำงานของ เครื่องตรวจโลหะ หลักการทำงานของ เครื่องตรวจโลหะ แบบพกพา อาศัยหลักที่ว่า วัตถุที่นำไฟฟ้า เช่น โลหะ อาวุธมีดมีคมหรือวัตถุโลหะอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋า จะตอบสนองต่อ สนามแม่เหล็กไฟฟ้า แตกต่างจากวัตถุที่ไม่นำไฟฟ้า เมื่อเปิดเครื่อง กระแสไฟฟ้าจะไหลเข้าไปยัง ขดลวดโลหะที่ปลายหัวตรวจจับ ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้น โดยมีขั้วอยู่ในแนวตั้งฉาก กับทิศทางของขดลวด หากสนามแม่เหล็กดังกล่าวไปกระทบกับวัตถุที่นำไฟฟ้าได้ดี เช่น โลหะ อาวุธมีดมีคมหรือวัตถุโลหะอื่นๆ เครื่องตรวจจับโลหะ จะแจ้งเตือนด้วยหลอดไฟ LED พร้อมสัญญาณเสียง ถ้าอยู่ใกล้โลหะมากสัญญาณก็จะดังขึ้นมากตามลำดับ เหมาะสำหรับ สนามบิน สนามกีฬา ศาล ห้องขัง หรือสถานบันเทิงอื่นๆ เครื่องตรวจโลหะ แบบพกพา จะกระตุ้นให้วัตถุดังกล่าวนั้น เกิดสนามแม่เหล็กอ่อนๆ ในทิศทางตรงข้ามกัน ทำให้สนามแม่เหล็กที่สะท้อนกลับมาเครื่องตรวจจับโลหะ ยิ่งวัตถุมีการนำไฟฟ้าดีมากและอยู่ใกล้โลหะมากสัญญาณก็จะดังขึ้นมากตามลำดับ จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้สามารถทราบได้ว่า มีวัตถุที่ทำจากโลหะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงหรือไม่ เหมาะสำหรับใช้งานในหลากหลายสถานที่ เช่น สนามบิน สนามกีฬา ศาล ห้องขัง หรือสถานบันเทิงอื่นๆ เป็นต้น สามารถตรวจจับได้ทั้งอาวุธมีดมีคมหรือวัตถุโลหะอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋า ตรวจจับโลหะ จากพื้นผิวลึกลงไป 8-12 นิ้ว เครื่องตรวจจับโลหะ แบบพกพา ส่วนใหญ่ สามารถตรวจจับวัตถุที่อยู่ลึกลงไปจากผิวหน้า 8-12 นิ้ว ความสามารถในการตรวจจับวัตถุ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ นอกจากชนิดและความไวของหัวตรวจจับแล้ว ชนิดของโลหะ ก็มีผลต่อการตรวจจับด้วย โลหะบางชนิด เช่น เหล็ก สามารถสร้างสนามแม่เหล็กได้แรงกว่าโลหะอื่น การตรวจจับจึงทำได้ง่าย ขนาดของวัตถุก็มีส่วนสำคัญ วัตถุที่มีขนาดเล็กถูกตรวจจับได้ยากกว่าวัตถุขนาดใหญ่ เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงสามารถพกเหรียญ หรือลูกกุญแจเข้าไปได้ โดยที่ เครื่องตรวจโลหะ แบบพกพา ไม่ส่งสัญญาณเตือนแต่อย่างใด เครื่องตรวจจับโลหะ สมัยใหม่ นอกจากนั้นแล้วยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ที่ เครื่องตรวจโลหะ แบบพกพา ไม่สามารถตรวจเจอโลหะได้ เช่น มีวัตถุที่สามารถป้องกันสนามแม่เหล็ก ไม่ให้ผ่านไปถึงวัตถุที่จะตรวจจับหรือไม่ เป็นต้น ในเรื่องของความปลอดภัย เครื่องตรวจจับโลหะสมัยใหม่ นอกจากตรวจตามร่างกายเพื่อตรวจจับได้ว่า มีวัตถุที่ทำจากโลหะชุกซ่อนได้แล้ว ยังสามารถระบุขนาด และความลึกของวัตถุอย่างคร่าวๆ ได้อีกด้วย แจ้งเตือน ตรวจจับโลหะ ด้วยหลอดไฟ LED และ เสียง เครื่องตรวจจับโลหะ นอกจากใช้ในสนามบิน สนามกีฬา ศาล ห้องขัง หรือสถานบันเทิงอื่นๆ เป็นต้น สามารถตรวจจับได้ทั้งอาวุธมีดมีคมหรือวัตถุโลหะอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋า จะแจ้งเตือนด้วยหลอดไฟ LED พร้อมสัญญาณเสียง เพื่อการรักษาความปลอดภัยแล้ว ยังมีการนำ เครื่องตรวจโลหะ แบบพกพา ไปใช้ในงานด้านอื่นได้อีก เช่น ใช้ในการตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของท่อ หรือสายเคเบิลที่ฝังอยู่ในอาคาร ตรวจหาส่วนประกอบโลหะในดินหรือหิน รวมทั้งใช้ในการสืบหาวัตถุโบราณ ที่ทำจากโลหะที่ฝังอยู่ใต้ดิน เพื่อประโยชน์ในทางโบราณคดีได้อีกด้วย Cr.สถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ระบบแจ้งเตือน ระเบิด จาก Facebook
เมื่อช่วงค่ำคืนปลายปีของเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ หลาย ๆ ท่านคงจะสังเกตเห็น ระบบแจ้งเตือน ระเบิด จากเฟสบุ๊ค (Facebook) พร้อมกับสอบถามผู้ใช้งานเฟสบุ๊คว่า ปลอดภัยจากเหตุการณ์ระเบิดในกรุงเทพฯ หรือไม่ ข่าวนี้ สร้างความแตกตื่นให้กับผู้ใช้ Facebook ชาวไทยเป็นอย่างมาก และค้นหาข้อมูลอย่างเร่งด่วนว่า เกิดเหตุระเบิดที่ใดในกรุงเทพฯ กันแน่ โดยมีหลาย ๆ ท่านร่วมกดรายงานความปลอดภัย เจ้าหน้าตำรวจมีการตรวจสอบและป้องกันความปลอดภัย รวมทั้งค้นว่าวัตถุระเบิดผ่าน เครื่องตรวจจับโลหะ (Metal Detector) สำหรับผู้คนในพื้นทีที่คาดการณ์ว่าจะมีระเบิด ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ ไม่มีเหตุการณ์ระเบิดใด ๆ เกิดขึ้น ทำให้เกิดคำถามว่า ระบบ Safety Check นี้ ทำไม Facebook ถึงมีข้อผิดพลาด และข่าวคราวเรื่องระเบิด มาจากแหล่งใดกันแน่ ที่มาที่ไปของระบบแจ้งเตือน Facebook สำหรับสาเหตุและที่มาที่ไปของระบบแจ้งเตือน Safety Check จากเฟสบุ๊ค (Facebook) นั้น เกิดขึ้นมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2011 ทำให้ทีมวิศวกรของ Facebook ในประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนา Disaster Message Board ขึ้นมาเพื่อติดต่อ และตามหาคนที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์สึนามิในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ทางเฟสบุ๊ค เล็งเห็นว่า ภัยพิบัตินั้นเกิดขึ้นบ่อยและเกิดขึ้นได้ทั่วโลก ประกอบกับ Facebook คือชุมชนผู้ใช้งานรายใหญ่ ที่สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของผู้ใช้ โดยเฉพาะคนรู้จักได้ง่าย ทำให้ เฟสบุ๊คเกิดไอเดียในการพัฒนา Facebook Safety Check ขึ้นมานั่นเอง ระบบแจ้งเตือน Safety Check ทำงานอย่างไร ? เมื่อมีเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิดขึ้น ระบบ Safety Check จากเฟสบุ๊ค (Facebook) จะเริ่มทำงานด้วยการส่งการแจ้งเตือนไปยัง ผู้ใช้งาน Facebook ที่น่าจะอยู่ในบริเวณพื้นที่ประสบภัย พร้อมกับสอบถามว่า ผู้ใช้งาน เฟสบุ๊คปลอดภัยหรือไม่ ถ้าหากปลอดภัย ให้คลิกที่ปุ่ม I'm Safe แต่ถ้าหากไม่ได้อยู่ในพื้นที่นั้น ให้คลิกปุ่ม I'm not in the area นอกจากนี้ ยังสามารถส่งแจ้งเตือนให้กับเพื่อนเฟสบุ๊คที่คาดว่า น่าจะอยู่ในบริเวณดังกล่าว พร้อมกับสอบถามว่า ปลอดภัยหรือไม่ ได้ด้วยเช่นกัน วิธีกรองข้อมูล แจ้งเตือน Safety Check ในตอนแรกของระบบ Safety Check นั้น ทีมงานของ Facebook จะเป็นผู้เปิดระบบดังกล่าว พร้อมกับแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้งานเฟสบุ๊คที่น่าจะอยู่ในพื้นที่ประสบภัย ผู้ใช้งานเฟสบุ๊ค ไม่สามารถเปิดระบบดังกล่าวเองได้ แต่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทาง Facebook ได้ปรับระบบใหม่ ด้วยการให้บุคคลที่ 3 ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย คาดว่า น่าจะเป็นองค์กรภายนอกที่สามารถติดต่อกับ Facebook ได้โดยตรง เป็นผู้แจ้งเตือนเหตุการณ์ร้ายแรงไปยัง Facebook และทีมงาน Facebook จะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากข่าวสารต่าง ๆ ว่าตรงกับที่แจ้งมาหรือไม่ ก่อนทำการเปิดระบบ Safety Check แจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ Facebook ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ความผิดพลาด ระบบแจ้งเตือน Safety Check นั่นหมายความว่า เหตุการณ์แจ้งเตือนเหตุระเบิดในกรุงเทพฯจากเฟสบุ๊ค เมื่อค่ำคืนปลายปีของเดือนธันวาคมที่ผ่านมานี้ อาจจะไม่ใช่ความผิดพลาดของเฟสบุ๊ค แต่อาจจะมีข่าวหรือเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับเหตุระเบิดในวันดังกล่าว อย่างไรก็ดี ข่าวสารจากภายนอก ในบางครั้งก็ไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องเสียทีเดียว ฉะนั้น ทางทีมงาน Facebook เอง ควรจะต้องปรับปรุงระบบการคัดกรองข่าวสารต่าง ๆ ว่า ข้อมูลถูกต้องมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้าหากเกิดความผิดพลาดบ่อยครั้ง อนาคตระบบแจ้งเตือน Safety Check ของ Facebook อาจไม่มีความน่าเชื่อถืออีกต่อไป Cr.Techmo Blog |
update info by ;
|